ทั่วประเทศ / อุทัยธานี / บริการ/ แต่งงาน/ รับจ้างทั่วไป / บริการอื่นๆ

ตัวช่วย 3 ขั้น เลือกสินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักประกันให้ตรงแผนธุรกิจ (ดอนเมือง)

ประกาศเลขที่# A1121652
ตัวช่วย 3 ขั้น เลือกสินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักประกันให้ตรงแผนธุรกิจ
ราคา: 5,000,000 บาท
ประเภทประกาศ: ประกาศ/ประชาสัมพันธ์
สภาพสินค้า: มือสอง
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ: 0819999999
 
จำนวนผู้เข้าชม  : 10 ครั้ง

คลิกที่รูปภาพเพื่อดูขนาดใหญ่

เวลาจะตัดสินใจใช้ สินเชื่อsme โดยเฉพาะแบบ สินเชื่อSMEไม่ใช้หลักประกัน เจ้าของกิจการจำนวนมากติดอยู่ที่คำถามเดียวกัน คือ “จะเลือกวงเงินแบบไหนให้ไม่ผิดงาน ไม่เป็นภาระดอกเบี้ยเกินจำเป็น และยังตอบโจทย์เงินทุนหมุนเวียนจริง ๆ ของกิจการ?”

ในปี 2568 ภาพรวมสินเชื่อSMEไม่มีหลักทรัพย์2568ของไทยยังอยู่ภายใต้กรอบ Responsible Lending ที่เน้นให้ธนาคารปล่อยกู้ “พอดีกับความสามารถชำระหนี้” มองที่คุณภาพกระแสเงินสดและวินัยทางการเงินมากกว่าการใช้ทรัพย์ค้ำเพียงอย่างเดียว ทำให้การเลือก แหล่งเงินทุน ที่เหมาะกับรูปแบบรายได้–รายจ่ายของธุรกิจ ยิ่งสำคัญขึ้นกว่าเดิม

บทความหลักบน EasyCashflows “สมัครสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เลือกแบบไหนให้เหมาะกับแผนธุรกิจ” จึงออกแบบ “ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น” เพื่อให้เจ้าของกิจการใช้เป็นกรอบคิดเวลาเลือกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นวงเงินหมุนเวียนระยะสั้น เงินก้อนลงทุนเล็ก หรือเครื่องมือเร่งเงินจากบิล B2B ก่อนตัดสินใจยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินใด ๆ

ด้านล่างนี้คือสรุป “ตัวช่วย 3 ขั้น” ในมุมมองแบบทีเซอร์ ใครที่กำลังมองหา เงินทุนหมุนเวียน หรือวางแผนใช้ สินเชื่อsme แบบไม่มีหลักประกัน สามารถใช้เป็นเช็กลิสต์ก่อนกดสมัครสินเชื่อจริง


ขั้นที่ 1: ถามให้ชัดว่า “โจทย์เงิน” ของคุณคืออะไร

จุดเริ่มต้นของการเลือก สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ใช่เริ่มที่ “ธนาคารไหนดอกเบี้ยถูกสุด” แต่คือการนิยามให้ชัดว่า คุณต้องการเงินไปทำอะไร และเงินก้อนนั้น “หมุนจบในกี่รอบ”

ในบทความหลัก แนะนำให้แยกโจทย์ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

  1. เงินหมุนรอบสั้น – ใช้เติมสต็อก รับงานเพิ่ม กันสะดุดปลายรอบ เช่น จ่ายค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าส่ง

  2. เงินก้อนเล็กเพื่ออัปเกรด – ลงทุนของจำเป็นที่เพิ่มประสิทธิภาพหรือยอดขาย เช่น เครื่องอบ เครื่องชง ฟิตเอาต์หน้าร้าน

  3. เงินจากบิลค้างรับ (B2B) – มีใบแจ้งหนี้/เครดิตเทอม 30–60 วัน แต่อยากแปลงเป็นเงินสดบางส่วนมาหมุนก่อน

แต่ละโจทย์เชื่อมไปสู่ผลิตภัณฑ์ต่างกัน เช่น วงเงินหมุนเวียน (OD/Working Capital) สินเชื่อผ่อนค่างวดระยะสั้น หรือบริการคล้ายแฟคตอริ่งสำหรับบิลลูกค้าองค์กร หากใช้สินเชื่อชนิดเดียวแก้ทุกปัญหา ผลลัพธ์มักคือดอกเบี้ยบาน วงเงินตึงเกินจริง และความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระยะยาว

สำหรับผู้ประกอบการที่มองหา สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน การนิยามโจทย์เงินให้ชัด จะช่วยให้คุณสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อได้ตรงจุดมากขึ้น และสร้างความน่าเชื่อถือว่าเงินกู้จะถูกใช้ “ตรงงาน–ตรงเป้า” ไม่ใช่กู้มาก่อนแล้วค่อยคิดทีหลัง


ขั้นที่ 2: เขียน “รอบเงินธุรกิจ” ของคุณให้เห็นภาพ

ขั้นต่อมาคือการเอาปากกากับกระดาษมาจด “ลำดับเหตุการณ์ของเงินสด” ตั้งแต่วันสั่งของ → วันของถึง → วันขาย → วันเงินเข้าบัญชี แล้วดูว่ารอบเงินของธุรกิจอยู่ที่ประมาณกี่วัน: 15, 30 หรือ 60 วัน

ตัวอย่างมุมมองที่บทความหลักเสนอ เช่น

  • ถ้าเงินเข้ารายวัน/รายสัปดาห์ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก มักเหมาะกับ วงเงินหมุนเวียนระยะสั้น ใช้–โปะตามกระแสเงินสด

  • ถ้าเงินเข้าตอนปลายเดือน เพราะขายแบบเครดิตเทอมให้ลูกค้าองค์กรหรือดีลเลอร์ → “จุดขาดเงินสด” จะอยู่กลางรอบ จำเป็นต้องออกแบบวงเงินให้ครอบคลุมช่วงเว้นว่างนั้น

  • ถ้ามีช่วงโลว์ซีซันชัดเจน ก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ → อาจต้องใช้เงินก้อนเล็กเพื่อรีสต็อกหรือปรับปรุงหน้าร้านล่วงหน้า

ที่น่าสนใจคือ บทความหลักยังชวนให้ทดลองทำตาราง “กรณีแย่ลง 20%” ว่าถ้ายอดขายหรือเงินเข้าต่ำกว่าคาด ยังพอจ่ายค่างวดหรือโปะวงเงินครบหรือไม่ ถ้าไม่ไหว แปลว่าคุณกำลังตั้งวงเงินหรือโครงสร้างหนี้เกินกว่าความสามารถจริง ควรลดวงเงินหรือทบทวนสมมติฐานก่อนกดขอสินเชื่อ

กรอบคิดเรื่องรอบเงินนี้มีประโยชน์มากกับทั้ง สินเชื่อsme แบบมีหลักประกันและแบบไม่มีหลักประกัน เพราะฝ่ายเครดิตเองก็ใช้ตารางกระแสเงินสด (Cash Flow) และตัวชี้วัดอย่าง DSCR/DSR เป็นฐานพิจารณาความเสี่ยงเช่นกัน


ขั้นที่ 3: แยกให้ชัดว่า “แหล่งรายได้หลัก” ของธุรกิจมาจากไหน

ขั้นสุดท้ายของตัวช่วย 3 ขั้น คือการตอบคำถามว่า “รายได้จริง ๆ ของกิจการมาจากช่องทางไหนเป็นหลัก” ระหว่าง

  • ยอดขายหน้าร้าน/ออนไลน์ที่วิ่งผ่าน POS หรือ e-wallet รายวัน

  • รายได้แบบ B2B ที่ต้องรอเครดิตเทอมและมีเอกสารการค้าครบ

  • หรือรูปแบบผสมกันทั้งสองทาง

รายได้จาก POS/e-wallet รายวัน มักมีข้อมูลละเอียดระดับวันหรือชั่วโมง สามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันรายได้จริงสำหรับเคส “ข้อมูลในระบบยังน้อย” (thin-file) ได้ดี หากจัดการให้เงินเข้าผ่านบัญชีธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ จะเพิ่มโอกาสอนุมัติในผลิตภัณฑ์ สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักประกัน ได้มากขึ้น

ในขณะที่รายได้แบบ B2B เครดิตเทอม จุดแข็งคือมีเอกสารเชื่อมโยงกันชัดเจน (ใบสั่งซื้อ ใบส่งของ ใบแจ้งหนี้ หลักฐานรับของ) ซึ่งเหมาะกับเครื่องมือแปลงบิลเป็นเงินสด เพื่อเสริม เงินทุนหมุนเวียน โดยไม่ต้องนำทรัพย์สินส่วนตัวมาค้ำ แต่เจ้าของกิจการต้องจัดแฟ้มเอกสารให้อ่านง่ายและตรวจสอบย้อนกลับได้เสมอ

สำหรับกิจการที่มีรายได้ผสม บทความหลักแนะนำให้ “แยกกระเป๋าเงิน” ไม่ปนรายได้แบบรายวันกับรายได้จากเครดิตเทอมเข้าบัญชีเดียวกันทั้งหมด เพราะจะทำให้การคำนวณวงเงินและการประเมินความเสี่ยงทำได้ยากขึ้น ทั้งในมุมผู้กู้และฝ่ายอนุมัติสินเชื่อเอง


ถ้าอยากลงลึกกว่านี้ ควรอ่านอะไรต่อ?

ทีเซอร์นี้ตั้งใจพาให้คุณเห็นภาพรวมของ “ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น” เพื่อใช้เป็นกรอบคิดเวลาเลือกใช้ แหล่งเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นวงเงินหมุนเวียนระยะสั้น เงินก้อนเล็กเพื่ออัปเกรด หรือเครื่องมือแปลงบิล B2B ให้กลายเป็นเงินสด ทั้งหมดนี้สัมพันธ์โดยตรงกับการออกแบบ สินเชื่อเพื่อธุรกิจsme ทั้งแบบมีหลักประกันและ สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน ให้เหมาะกับสภาพธุรกิจจริงในปี 2568

หากคุณต้องการเวอร์ชันเต็มที่มีตัวอย่างประกอบ ลิงก์ไปยังหน้ารายละเอียดของวงเงินแต่ละประเภท และเช็กลิสต์เพิ่มเติมสำหรับเตรียมเอกสารยื่นขอสินเชื่อ แนะนำให้อ่านบทความหลักของ EasyCashflows เรื่อง
“สมัครสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เลือกแบบไหนให้เหมาะกับแผนธุรกิจ” ซึ่งเป็นต้นทางของกรอบคิด “ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น” ฉบับสมบูรณ์

 

ใช้เวลาเคลียร์ 3 ขั้นนี้ให้ชัดเจนก่อนยื่นกู้ คุณจะค้นพบว่า “เลือกสินเชื่อให้ตรงธุรกิจ” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด และยังช่วยเพิ่มโอกาสอนุมัติ พร้อมลดความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ยและหนี้เกินตัวในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญด้วย 💡

วันที่ลงประกาศ: เมื่อวานนี้  13:31
วันสิ้นสุดประกาศ: 25 กุมภาพันธ์ 2026  13:31
ติดต่อเจ้าของประกาศ: (ใช้ฟอร์มติดต่อด้านล่าง)
 
อีเมลของคุณ: *
ข้อความ: *
ไฟล์แนบ:
ไฟล์ที่อนุญาติ: jpg, jpeg, gif, png, pdf, zip, rar
ขนาดไม่เกิน: 2000KB
ตัวเลขยืนยัน: *
พิมพ์ตัวเลขยืนยัน 4 ตัวลงในช่องด้านล่าง