|
| ราคา | : 5,000,000 บาท |
| ประเภทประกาศ | : ประกาศ/ประชาสัมพันธ์ |
| สภาพสินค้า | : มือสอง |
| เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ | : 0819999999 |
| |
| จำนวนผู้เข้าชม | : 9 ครั้ง |
|
|
คลิกที่รูปภาพเพื่อดูขนาดใหญ่
เวลาจะตัดสินใจใช้ สินเชื่อsme โดยเฉพาะแบบ สินเชื่อSMEไม่ใช้หลักประกัน เจ้าของกิจการจำนวนมากติดอยู่ที่คำถามเดียวกัน คือ “จะเลือกวงเงินแบบไหนให้ไม่ผิดงาน ไม่เป็นภาระดอกเบี้ยเกินจำเป็น และยังตอบโจทย์เงินทุนหมุนเวียนจริง ๆ ของกิจการ?”
ในปี 2568 ภาพรวมสินเชื่อSMEไม่มีหลักทรัพย์2568ของไทยยังอยู่ภายใต้กรอบ Responsible Lending ที่เน้นให้ธนาคารปล่อยกู้ “พอดีกับความสามารถชำระหนี้” มองที่คุณภาพกระแสเงินสดและวินัยทางการเงินมากกว่าการใช้ทรัพย์ค้ำเพียงอย่างเดียว ทำให้การเลือก แหล่งเงินทุน ที่เหมาะกับรูปแบบรายได้–รายจ่ายของธุรกิจ ยิ่งสำคัญขึ้นกว่าเดิม
บทความหลักบน EasyCashflows “สมัครสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เลือกแบบไหนให้เหมาะกับแผนธุรกิจ” จึงออกแบบ “ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น” เพื่อให้เจ้าของกิจการใช้เป็นกรอบคิดเวลาเลือกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นวงเงินหมุนเวียนระยะสั้น เงินก้อนลงทุนเล็ก หรือเครื่องมือเร่งเงินจากบิล B2B ก่อนตัดสินใจยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินใด ๆ
ด้านล่างนี้คือสรุป “ตัวช่วย 3 ขั้น” ในมุมมองแบบทีเซอร์ ใครที่กำลังมองหา เงินทุนหมุนเวียน หรือวางแผนใช้ สินเชื่อsme แบบไม่มีหลักประกัน สามารถใช้เป็นเช็กลิสต์ก่อนกดสมัครสินเชื่อจริง
ขั้นที่ 1: ถามให้ชัดว่า “โจทย์เงิน” ของคุณคืออะไร
จุดเริ่มต้นของการเลือก สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ใช่เริ่มที่ “ธนาคารไหนดอกเบี้ยถูกสุด” แต่คือการนิยามให้ชัดว่า คุณต้องการเงินไปทำอะไร และเงินก้อนนั้น “หมุนจบในกี่รอบ”
ในบทความหลัก แนะนำให้แยกโจทย์ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่
-
เงินหมุนรอบสั้น – ใช้เติมสต็อก รับงานเพิ่ม กันสะดุดปลายรอบ เช่น จ่ายค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าส่ง
-
เงินก้อนเล็กเพื่ออัปเกรด – ลงทุนของจำเป็นที่เพิ่มประสิทธิภาพหรือยอดขาย เช่น เครื่องอบ เครื่องชง ฟิตเอาต์หน้าร้าน
-
เงินจากบิลค้างรับ (B2B) – มีใบแจ้งหนี้/เครดิตเทอม 30–60 วัน แต่อยากแปลงเป็นเงินสดบางส่วนมาหมุนก่อน
แต่ละโจทย์เชื่อมไปสู่ผลิตภัณฑ์ต่างกัน เช่น วงเงินหมุนเวียน (OD/Working Capital) สินเชื่อผ่อนค่างวดระยะสั้น หรือบริการคล้ายแฟคตอริ่งสำหรับบิลลูกค้าองค์กร หากใช้สินเชื่อชนิดเดียวแก้ทุกปัญหา ผลลัพธ์มักคือดอกเบี้ยบาน วงเงินตึงเกินจริง และความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระยะยาว
สำหรับผู้ประกอบการที่มองหา สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน การนิยามโจทย์เงินให้ชัด จะช่วยให้คุณสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อได้ตรงจุดมากขึ้น และสร้างความน่าเชื่อถือว่าเงินกู้จะถูกใช้ “ตรงงาน–ตรงเป้า” ไม่ใช่กู้มาก่อนแล้วค่อยคิดทีหลัง
ขั้นที่ 2: เขียน “รอบเงินธุรกิจ” ของคุณให้เห็นภาพ
ขั้นต่อมาคือการเอาปากกากับกระดาษมาจด “ลำดับเหตุการณ์ของเงินสด” ตั้งแต่วันสั่งของ → วันของถึง → วันขาย → วันเงินเข้าบัญชี แล้วดูว่ารอบเงินของธุรกิจอยู่ที่ประมาณกี่วัน: 15, 30 หรือ 60 วัน
ตัวอย่างมุมมองที่บทความหลักเสนอ เช่น
-
ถ้าเงินเข้ารายวัน/รายสัปดาห์ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก มักเหมาะกับ วงเงินหมุนเวียนระยะสั้น ใช้–โปะตามกระแสเงินสด
-
ถ้าเงินเข้าตอนปลายเดือน เพราะขายแบบเครดิตเทอมให้ลูกค้าองค์กรหรือดีลเลอร์ → “จุดขาดเงินสด” จะอยู่กลางรอบ จำเป็นต้องออกแบบวงเงินให้ครอบคลุมช่วงเว้นว่างนั้น
-
ถ้ามีช่วงโลว์ซีซันชัดเจน ก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ → อาจต้องใช้เงินก้อนเล็กเพื่อรีสต็อกหรือปรับปรุงหน้าร้านล่วงหน้า
ที่น่าสนใจคือ บทความหลักยังชวนให้ทดลองทำตาราง “กรณีแย่ลง 20%” ว่าถ้ายอดขายหรือเงินเข้าต่ำกว่าคาด ยังพอจ่ายค่างวดหรือโปะวงเงินครบหรือไม่ ถ้าไม่ไหว แปลว่าคุณกำลังตั้งวงเงินหรือโครงสร้างหนี้เกินกว่าความสามารถจริง ควรลดวงเงินหรือทบทวนสมมติฐานก่อนกดขอสินเชื่อ
กรอบคิดเรื่องรอบเงินนี้มีประโยชน์มากกับทั้ง สินเชื่อsme แบบมีหลักประกันและแบบไม่มีหลักประกัน เพราะฝ่ายเครดิตเองก็ใช้ตารางกระแสเงินสด (Cash Flow) และตัวชี้วัดอย่าง DSCR/DSR เป็นฐานพิจารณาความเสี่ยงเช่นกัน
ขั้นที่ 3: แยกให้ชัดว่า “แหล่งรายได้หลัก” ของธุรกิจมาจากไหน
ขั้นสุดท้ายของตัวช่วย 3 ขั้น คือการตอบคำถามว่า “รายได้จริง ๆ ของกิจการมาจากช่องทางไหนเป็นหลัก” ระหว่าง
-
ยอดขายหน้าร้าน/ออนไลน์ที่วิ่งผ่าน POS หรือ e-wallet รายวัน
-
รายได้แบบ B2B ที่ต้องรอเครดิตเทอมและมีเอกสารการค้าครบ
-
หรือรูปแบบผสมกันทั้งสองทาง
รายได้จาก POS/e-wallet รายวัน มักมีข้อมูลละเอียดระดับวันหรือชั่วโมง สามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันรายได้จริงสำหรับเคส “ข้อมูลในระบบยังน้อย” (thin-file) ได้ดี หากจัดการให้เงินเข้าผ่านบัญชีธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ จะเพิ่มโอกาสอนุมัติในผลิตภัณฑ์ สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักประกัน ได้มากขึ้น
ในขณะที่รายได้แบบ B2B เครดิตเทอม จุดแข็งคือมีเอกสารเชื่อมโยงกันชัดเจน (ใบสั่งซื้อ ใบส่งของ ใบแจ้งหนี้ หลักฐานรับของ) ซึ่งเหมาะกับเครื่องมือแปลงบิลเป็นเงินสด เพื่อเสริม เงินทุนหมุนเวียน โดยไม่ต้องนำทรัพย์สินส่วนตัวมาค้ำ แต่เจ้าของกิจการต้องจัดแฟ้มเอกสารให้อ่านง่ายและตรวจสอบย้อนกลับได้เสมอ
สำหรับกิจการที่มีรายได้ผสม บทความหลักแนะนำให้ “แยกกระเป๋าเงิน” ไม่ปนรายได้แบบรายวันกับรายได้จากเครดิตเทอมเข้าบัญชีเดียวกันทั้งหมด เพราะจะทำให้การคำนวณวงเงินและการประเมินความเสี่ยงทำได้ยากขึ้น ทั้งในมุมผู้กู้และฝ่ายอนุมัติสินเชื่อเอง
ถ้าอยากลงลึกกว่านี้ ควรอ่านอะไรต่อ?
ทีเซอร์นี้ตั้งใจพาให้คุณเห็นภาพรวมของ “ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น” เพื่อใช้เป็นกรอบคิดเวลาเลือกใช้ แหล่งเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นวงเงินหมุนเวียนระยะสั้น เงินก้อนเล็กเพื่ออัปเกรด หรือเครื่องมือแปลงบิล B2B ให้กลายเป็นเงินสด ทั้งหมดนี้สัมพันธ์โดยตรงกับการออกแบบ สินเชื่อเพื่อธุรกิจsme ทั้งแบบมีหลักประกันและ สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน ให้เหมาะกับสภาพธุรกิจจริงในปี 2568
หากคุณต้องการเวอร์ชันเต็มที่มีตัวอย่างประกอบ ลิงก์ไปยังหน้ารายละเอียดของวงเงินแต่ละประเภท และเช็กลิสต์เพิ่มเติมสำหรับเตรียมเอกสารยื่นขอสินเชื่อ แนะนำให้อ่านบทความหลักของ EasyCashflows เรื่อง
“สมัครสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เลือกแบบไหนให้เหมาะกับแผนธุรกิจ” ซึ่งเป็นต้นทางของกรอบคิด “ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น” ฉบับสมบูรณ์
ใช้เวลาเคลียร์ 3 ขั้นนี้ให้ชัดเจนก่อนยื่นกู้ คุณจะค้นพบว่า “เลือกสินเชื่อให้ตรงธุรกิจ” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด และยังช่วยเพิ่มโอกาสอนุมัติ พร้อมลดความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ยและหนี้เกินตัวในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญด้วย 💡