ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการจำนวนมากที่ทำธุรกิจอย่างมีวินัย มียอดขายเข้ามาเรื่อย ๆ แต่กลับถูกปฏิเสธสินเชื่อโดยเหตุผลที่เหมือนกันคือ “คะแนนเครดิตไม่ผ่านเกณฑ์”
ทั้งที่ในมุมของเจ้าของกิจการ พวกเขารู้ว่าตัวเองมีคำสั่งซื้อชัดเจน มีลูกค้าประจำ มีรอบเงินที่พอจะคาดการณ์ได้—เพียงแต่บางช่วงของปี กระแสเงินสดอาจสะดุดเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของธุรกิจ SME ในไทย
อย่างไรก็ตาม ปี 2568 กลับเป็นปีที่คำว่า “คะแนนเครดิตอย่างเดียว” เริ่มมีน้ำหนักน้อยลงเรื่อย ๆ
เพราะทั้งธนาคารและผู้ให้กู้ Non-Bank หลายแห่งกำลังปรับตัว
ไม่ยึดเพียงคะแนนเครดิต (Credit Score) อีกต่อไป แต่เริ่มประเมินภาพรวมของธุรกิจตั้งแต่ กระแสเงินสด, พฤติกรรมการชำระ, เสถียรภาพของรายได้, ความต่อเนื่องของคำสั่งซื้อ, ไปจนถึง “ลักษณะกิจการแต่ละประเภท”
นี่คือสัญญาณสำคัญที่ทุกคนที่กำลังมองหา แหล่งเงินกู้, เงินทุนหมุนเวียน, สินเชื่อ SME, หรือแม้แต่ สินเชื่อSMEไม่ใช้ทรัพย์ค้ำประกันปี2568 ต้องเข้าใจให้ชัดเจน
✅ 1. ทำไม “คะแนนเครดิต” ถึงเริ่มมีน้ำหนักน้อยลงในปี 2568
ในบทความหลักของ EasyCashFlows ได้ชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มสินเชื่อในปี 2568 จะโฟกัสไปที่ “พฤติกรรมการเงินจริง” มากขึ้น ไม่ใช่ตัวเลขคะแนนเพียงอย่างเดียว
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการปรับแนวคิดนี้ ได้แก่:
(1) สภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนมากกว่าเดิม
ความล่าช้าในการจ่ายเงินของลูกค้าองค์กร, ราคาวัตถุดิบที่แกว่งตัวหนัก, และเงินสดที่ติดอยู่ในลูกหนี้การค้า ทำให้ธุรกิจดี ๆ หลายรายเกิดภาวะสะดุดชั่วคราว ซึ่งสะท้อนในคะแนนเครดิต แม้ตัวธุรกิจยังแข็งแรงจริง
สถาบันการเงินจึงรู้ว่า “คะแนนเครดิตไม่ได้บอกเรื่องราวทั้งหมด”
(2) กระแส Fintech และ AI Credit Model เข้ามามีบทบาท
ผู้ให้กู้ Non-Bank จำนวนมากเริ่มใช้โมเดลประเมินความเสี่ยงแบบใหม่ เช่น
-
ประวัติการหมุนเวียนบัญชีรายวัน
-
ยอดขายจริงจากระบบ POS
-
รายการชำระค่าแรง/ค่าวัตถุดิบ
-
หลักฐานคำสั่งซื้อจากแพลตฟอร์ม
ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่ให้ข้อมูลจริงมากกว่า Credit Score
(3) ภาคธุรกิจ SME ต้องการเงินเร็วขึ้นและยืดหยุ่นกว่าเดิม
ในโลกจริง การรอพิจารณาสินเชื่อนาน 3–4 สัปดาห์อาจทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาสสำคัญ เช่น การรับงานใหม่ การสั่งวัตถุดิบราคาดี หรือการรักษาลูกค้ารายหลัก
การใช้เกณฑ์ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิมจึงตอบโจทย์ทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้
✅ 2. Storytelling: เรื่องของเจ้าของโรงงานที่ “คะแนนไม่ดี แต่ธุรกิจดีมาก”
คุณมณี เจ้าของโรงงานผลิตกล่องกระดาษในสมุทรสาคร เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
เธอมีลูกค้ากลุ่มอาหารแปรรูปหลายรายที่สั่งงานต่อเนื่องแทบทุกเดือน
แต่ในช่วงโควิด-19 โรงงานของเธอถูกชะลอการชำระเงิน ทำให้เธอต้องหมุนบัญชีส่วนตัวมาช่วยกิจการ
ผลคือ
เมื่อเศรษฐกิจกลับมา เธอตัดสินใจขอสินเชื่อเอสเอ็มอี สำหรับขยายโรงงาน
แต่ถูกปฏิเสธจากธนาคาร 2 แห่ง ด้วยเหตุผลเดิม:
“คะแนนคุณยังไม่ผ่านเกณฑ์ค่ะ”
เธอยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกหมดหวังมาก
เพราะความจริงแล้วกิจการของเธอกำลังจะเติบโต
แต่กลับติดที่ตัวเลขคะแนนเครดิตเพียงอย่างเดียว
สุดท้าย เธอพบผู้ให้กู้ที่ประเมินจาก “พฤติกรรมทางการเงินจริง”
ภายใน 5 วัน เธอได้รับวงเงิน “สินเชื่อแบบไม่ใช้หลักประกัน” วงเงิน 800,000 บาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรับงานล็อตใหม่ทันที
หลังจากนั้น เธอเล่าว่า
“ตอนนั้นฉันรู้เลยว่า คะแนนเครดิตเป็นแค่หนึ่งในหลายปัจจัย ไม่ใช่ทุกอย่าง”
เรื่องของเธอเป็นภาพสะท้อนที่ดีว่า
การประเมินความเสี่ยงในยุคใหม่ ไม่ได้ดูแค่ตัวเลข แต่ดู “การเดินจริงของธุรกิจ”
✅ 3. มุมวิเคราะห์: แล้วอะไรคือปัจจัยที่สถาบันการเงินมองมากขึ้นแทนคะแนนเครดิต?
จากการรวบรวมข้อมูลทั้งจากบทความหลักและข่าวเศรษฐกิจปี 2567–2568 ปัจจัยใหม่ที่ผู้ให้กู้มองเพิ่มเติมได้แก่:
1) พฤติกรรมการหมุนเวียนของบัญชี (Statement Behavior)
เช่น
-
เงินเข้า–ออกสม่ำเสมอหรือไม่
-
มีการค้างชำระหรือไม่
-
รายได้มาจากลูกค้าประจำหรือรายครั้ง
-
กระแสเงินสดติดลบกี่รอบใน 6 เดือน
นี่ถือเป็นข้อมูลที่ “จริงที่สุด” ของธุรกิจ
2) ความต่อเนื่องของคำสั่งซื้อ (Order Consistency)
โรงงานหรือร้านค้าที่มีคำสั่งซื้อประจำ หรือยอดขายคงที่ในระบบ POS ถูกมองว่าเสี่ยงต่ำ
3) ความสามารถในการควบคุมต้นทุน (Cost Control)
กำไรไม่ต้องสูงมากก็ได้ แต่ต้องนิ่ง
ธุรกิจที่ควบคุมต้นทุนได้จะมีโอกาสอนุมัติสูงกว่า
4) ภาพรวมสัดส่วนหนี้ (Debt Behavior)
แม้คะแนนเครดิตจะตก แต่ถ้าหนี้ไม่ได้ผิดนัดชำระ ธนาคารและ Non-Bank ยังพร้อมพิจารณา
5) ลักษณะอุตสาหกรรม (Industry Risk)
บางอุตสาหกรรมถูกจัดเป็นเสี่ยงต่ำ เช่น
-
การผลิตอาหาร
-
บรรจุภัณฑ์
-
วัสดุก่อสร้างบางกลุ่ม
ทำให้แม้คะแนนไม่สูง แต่ธุรกิจยังมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดี
✅ 4. ผลดีต่อผู้ประกอบการ SME
การที่สถาบันการเงินหันมาดูปัจจัยอื่นนอกจากคะแนนเครดิต คือโอกาสของผู้ประกอบการ SME โดยตรง เช่น:
-
ผู้ประกอบการที่กระแสเงินสดดี แม้คะแนนไม่สูง ก็ยังเข้าถึงเงินทุนหมุนเวียนได้
-
ผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่มีประวัติเครดิต ก็ยังสามารถสมัครสินเชื่อ SME แบบไม่ใช้หลักประกันได้
-
ธุรกิจที่เคยสะดุดชั่วคราว มีโอกาส “เริ่มใหม่” โดยไม่ถูกผูกติดกับอดีต
ซึ่งทั้งหมดนี้เปิดประตูให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้นในยุคที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน
✅ 5. ข้อควรรู้: คะแนนเครดิตยังสำคัญ แต่ “ไม่ใช่ตัวตัดสินชะตา”
แม้คะแนนเครดิตไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ
ดังนั้น ผู้ประกอบการควร
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณดู “แข็งแรง” ในสายตาผู้ให้กู้มากขึ้น
✅ บทสรุป: ธุรกิจคุณมีค่ามากกว่าตัวเลขคะแนนเครดิต
โลกธุรกิจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การประเมินความเสี่ยงไม่ได้ดูจากคะแนนเครดิตเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
แต่กลับมองที่ “ความจริงของธุรกิจ” ที่แสดงผ่านกระแสเงินสด พฤติกรรมบัญชี ความต่อเนื่องของยอดขาย และความสามารถในการหมุนเงิน
ดังนั้น ไม่ว่าคุณกำลังมองหา
ขอให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณ “มีเรื่องราวมากกว่าที่ตัวเลขบอก” และผู้ให้กู้ยุคใหม่ก็เริ่มเข้าใจสิ่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
✅ อ่านบทความหลักฉบับเต็ม เพื่อเข้าใจแนวคิดนี้อย่างลึกซึ้ง
บทความต่อไปนี้อธิบายการเปลี่ยนมุมมองของสถาบันการเงินปี 2568 แบบละเอียด พร้อมข้อมูลล่าสุดด้านสินเชื่อออนไลน์ที่ถูกกฎหมาย:
👉 บทความหลัก:
สินเชื่อออนไลน์สำหรับผู้ติดเครดิตบูโร